24 กรกฎาคม 2553

395 ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย

บ ท คั ด ย่ อ

บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583)

ปกหนังสือเรื่อง เปเรกรินาเซา ของปินโต

(เอื้อเฟื้อโดยวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี)

เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม

ภูมิประเทศประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ

รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ

จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จ

อย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน

บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหาร

รักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและ

ปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มี

สถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัย


ระวัติของปินโต



ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า (Montemor-o-velho) ใกล้เมืองกูอิงบรา (Coinbre)

ในราชอาณาจักรโปรตุเกส เมื่ออายุประมาณ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง

การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน

อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ (Tataria) โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น

และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน เมื่อเดินทางกลับไปถึง

โปรตุเกสในปีค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับ พระราชทานบำเหน็จรางวัล

เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก

ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ (Pragal) ทางใต้ของโปรตุเกส

ปินโตเขียนหนังสือชื่อ “Pérégrinação” ขึ้นและถูกตีพิมพ์หลังจากเขาถึง

แก่กรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1583
ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง

ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราชก่อนค..1548


ครั้งที่ 2 เข้า

มายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช

หลังจากปินโตถึงแก่กรรม

บุตรของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง “Pérégrinação” ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่ง

กรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปที่ 1และทรงเป็นกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน

ทรง
ได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตร์ของ
ปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา

รวมผลงานแปลเรื่องบันทึกการเดินทางของ เมสเดส ปินโต
(เอื้อเฟื้อโดย สถาบันอยุธยาศึกษา)


งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค..1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส (1628)

ภาษาอังกฤษ (1653) ใน ค..1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วน

ในชื่อการท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.1537-1558”

แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ

ได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค..1988

โดยแปลจากหนังสือชื่อ “Thailandand Portugal : 470 Years of Friendship”

รูปแบบการนำเสนองานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปของร้อยแก้ว

ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้

สภาพภูมิศาสตร์ของโลกให้มากยิ่งขึ้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะก่อให้เกิด

ความท้อถอย


ในการติดต่อ

กับ

ดินแดนแถบเอเชีย เขาระบุว่าอุทิศการทำงานให้แก่พระเจ้ามิได้หวังชื่อเสียง

เขา


แสดงความ

ขอบคุณพระเจ้าและสวรรค์ที่ช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายมาได้

จุดมุ่งหมายที่จริงจังของทั้งปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณ์

สถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลาย งานของปินโตจึง

ได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวางคุณค่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม

บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร

การทหาร วัฒนธรรม ประเพณีความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลาง

คริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหาร

ของชุมชนโปรตุเกสในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1543-1546)

เมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ขึ้นใน ค.ศ.1548 (พ.ศ.2091)



การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์


หากไม่เข้าร่วมรบก็จะถูกขับออกไปภายใน 3

วัน

ด้วย

เหตุนี้

จึงมีชาว

โปรตุเกสถึง 120


อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยามเหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้


ในพระ

ราช

พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกราน


ซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538

ดร.เจากิง ดึ

กัมปุชชี้ว่า

บทบาทของ

ทหารอาสา


ชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มี


การเริ่มปรับปรุง

ตำรา

พิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกส


จนเป็นที่มาของการตั้ง กรมทหารฝารั่ง

แม่นปืน

ใน

หนังสือศักดินาทหารหัวเมือง




จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ความน่าเชื่อถือของ

หนังสือของปินโตถูกตีพิมพ์เผยแพร่


อย่างกว้างขวางในยุโรป จึงเป็นเหตุให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงนักประวัติศาสตร์ไทยหลาย


คนเลือกใช้ข้อมูลของปินโตมาอ้างอิงโดยตลอด อาทิ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในพระราช


พงศาวดาร

ฉบับพระราชหัตถเลขา มานพ ถาวรวัฒน์สกุลในเรื่องขุนนางอยุธยา(2536)


อ้างเรื่องยศขุนนางสมัยอยุธยาตอนกลาง สุเนตร ชุตินทรานนท์ใน

เรื่องบุเรงนองกะยอดินนรธา(2538)


ก็อ้างเอกสารของปินโตซึ่ง

ระบุตรงกับราล์ฟ ฟิตซ์ (Ralph Fitch)ว่า พระเจ้าบุเรงนองนำเอาเรื่อง


การขอช้างเผือกมาเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างสยามกับพม่า


ใน ค.ศ.1569เป็นต้น หนังสือ “ Pérégrinação ” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสยามน้อยมาก


ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16


ศูนย์กลางของโปรตุเกสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ที่มะละกา


ปินโตจึงให้ความสำคัญต่อมะละกามากกว่ากรุงศรีอยุธยา การที่ราชสำนัก


โปรตุเกสสนใจดินแดนทางใต้ของพม่าและชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีนก็น่าจะ


มีผลต่อโครงเรื่องของปินโตเช่นกัน การที่เขามีฐานะเป็นเพียงกลาสีเรือ


นักผจญภัย แสวงโชค มิใช่บุตรขุนนางหรือนักการทูต มิใช่พ่อค้าหรือนายทหารที่ถูกส่งเข้ามา


ติดต่อกับสยามโดยตรง ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือของเขาเน้นกล่าวถึงสถานที่ต่างๆ


ตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกที่เขาเคยเดินทางไปถึงมากกว่า




หลักฐานของปินโตกับปัญหาในการศึกษาชุมชนโปรตุเกสสมัยอยุธยา


ปินโตระบุว่านักสอนศาสนาก็จำเป็นต้องเผยแพร่ศาสนาภายใต้นโยบายของราชสำนัก


หรือผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัวเช่นเดียวกับข้าราชการทั่วไป


เมื่อนักบุญฟรานซิส ซาเวียร์(St. Francis Xavier)จะออกไปเผยแพร่ศาสนาในญี่ปุ่น


ท่านก็ต้องเดินทางจากมะละกาไปยังกัว เพื่อรับฟังนโยบายของผู้สำเร็จราชการโปรตุเกส


แห่งอินเดียเสียก่อน (กรมศิลปากร, 2526 : 35) การที่ปินโตเคยเป็นทูตของข้าหลวงโปรตุเกสแห่งมะละกา


ไปยังรัฐต่างๆในภูมิภาคแถบนี้ อีกทั้งยังเคยเป็นทหารและนักสอนศาสนาของโปรตุเกสด้วย


เขาจึงน่าจะเป็นบุคคลที่มีเกียรติพอที่จะได้รับความเชื่อถือจากผู้มีฐานะ


เป็นศัตรูชาติโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน แต่เขาก็ไม่เคยถูกนักประวัติศาสตร์


โปรตุเกสอาทิ ดูอาร์ตึ บาร์บูซา(Duarte Barbosa) จูอาว ดึ บารอส(João de Baros )


และคาสปาร์ คอร์รีอา(Caspar Correa)เสียดสีเลยแม้แต่น้อย

การกล่าวว่า


กองทัพพม่านำกระบือและแรดมาลากปืนใหญ่เพื่อทำสงครามกับสยามใด

ฉบับแปลของโคแกน


ทำให้วูด(Wood)ชี้ว่างานเขียนของปินโต เป็นหลักฐานเชิงจินตนาการ”


ข้อเสนอของวูดอาจทำให้นักเรียนประวัติศาสตร์เห็นคล้อยไปกับคอนเกรฟที่ระบุว่า


ปินโตเป็นคนขี้ปด โชคดีที่ ดร. เจากิง ดึกัมปุชแย้งว่า ปินโตไม่เคยระบุคำว่า แรด”





ภาพเขียนแรด ฝีมือของอัลเบรคทช์ ดูเรอร์ (Albrectch Durer)
(เอื้อเฟื้อโดยวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี)


คำศัพท์ที่เขาใช้ คือ คำว่า “bada หรือ abada”นั้น ในคริสต์ศตวรรษที่16 หมายถึง สัตว์

ป่าซึ่งมาจาก


รากศัพท์ภาษาสันสกฤตเมื่อกล่าวถึงแรดซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในการโต้แย้งประเด็นที่มี


การแปล

“abada” ว่า แรดแต่ในภาษาอาหรับก็มีคำว่า “abadat” หมายถึง สัตว์ที่มีรูปร่างเป็นสีน้ำตาล


หรือสัตว์

ป่า หรือ สัตว์เลี้ยงที่หลบหนีไปจนกลายเป็นสัตว์ป่าในเวลาต่อมา


ปินโตจะใช้คำว่า “abada” เมื่อกล่าวถึง

จามรี(yaks)” ซึ่งเป็นสัตว์ต่าง (beast of burden)


ในตาตาเรีย (Tataria) เพราะไม่มีศัพท์ดังกล่าวใน

ภาษาโปรตุเกส


และใช้คำภาษาอาหรับว่า “abida” ในที่อื่นๆอีกร่วม12ครั้งเมื่อกล่าวถึงสัตว์ใหญ่คล้ายแรด


หรือ

สัตว์ต่างชนิดอื่นซึ่งไม่อาจหาคำมาใช้แทนได้



สรุป


ผู้เขียนเห็นว่างานนิพนธ์ของปินโตมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์


มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นเพียง

วรรณกรรม

ประโลมโลกหรือนิยายผจญภัยของกลาสีเรือ


แม้เนื้อหาบางตอนจะดูตื่นเต้นเร้าใจเกินกว่าจะมีความ

สมจริงตาม


ทัศนะของนักประวัติศาสตร์ แต่ในสภาวะที่ยุโรปเพิ่งจะพ้นจากยุคแห่งการจุดไฟเผาหญิงสาว


ที่ถูก

ล่าวหาว่าเป็นแม่มดและยังคงเคร่งต่อจริยธรรมทางศาสนา


มีใครบ้างที่จะ

กล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าตนเอง

เคยรับประทานเนื้อมนุษย์


เพื่อประทังชีวิตกลางทะเลหลังจากถูกโจรสลัดโจมตี ข้อถกเถียง

ในงานของปินโตอาจจะ

มีอยู่ไม่น้อย


แต่มีหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นใดบ้างที่ปราศจากคำถามและความเคลือบแคลง


งานของปินโตถูกตั้ง

ข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของศักราชก็เพราะบันทึกของเขา


เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นจากความทรงจำเมื่อเขา

เดินทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโปรตุเกสระยะหนึ่งแล้ว