ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยว จากยุคเริ่มต้นถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ลักษณะการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวสมัยกรีก
-เป็นการปกครองแบบนครรัฐ (City State)ไม่มีผู้นำสั่งการสร้างถนน
นิยมเดินทางด้วยเรือ
- สถานที่ที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า
- เดินทางเพื่อแสวงหาความรู้
- เพื่อการกีฬา โดยเฉพาะในกรุงเอเธนส์ เมื่อมีการเดินทางทำให้เกิด
การสร้างที่พักแรมระหว่างทางขึ้น แต่เป็นเพียงแค่ห้องนอนแคบๆเท่านั้น
ลักษณะการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวสมัยโรมันได้รวมจักรวรรดิกรีก
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรและนำเอาวัฒนธรรม ธรรมเนียม
ความหรูหรา ต่างๆไปพัฒนาเป็นแบบโรมัน
- การท่องเที่ยวรุ่งเรืองที่สุดในยุคโบราณ จนมีนักวิชาการปัจจุบันกล่าวว่า
“แม้ว่าชาวโรมันจะมิใช่ชาติแรกที่เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆเพื่อ
ความเพลิดเพลินก็ตามแต่ชาวโรมันก็เป็นชนชาติแรกที่แท้จริงที่สร้าง
วัฒนธรรมการท่องเที่ยวระบบมวลชนเป็นครั้งแรก (Mass Tourism)”
- นิยมเดินทางไปชมความสำเร็จของวิทยาการของกรีก เช่น อนุสาวรีย์ต่างๆ
รูปแกะสลัก ตลอดจนงานเทศกาล
- โครงสร้างพื้นฐานถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ ทั้งถนนหนทาง
ที่พักแรม (Inns) ร้านอาหาร
ลักษณะการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวสมัยยุคกลางหรือยุคมืด
-เป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ศาสนามีบทบาทในการกำหนดการดำเนินชีวิตของผู้คน
-วันหยุด (Holy Pays) มีบทบาทมากขึ้น
-คนชั้นกลางและชั้นสูงนิยมเดินทางเพื่อแสวงบุญในระยะทางไกลในเมืองต่างๆ
ตามหลักฐานที่ปรากฏเป็นนิทานเรื่อง Canterbury’s tales
ลักษณะการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวสมัยยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา (Renaissance)
- การเฟื่องฟูของอาชีพมัคคุเทศก์
- เกิดการพัฒนาทางด้านการค้า
- ผู้คนใฝ่รู้เกี่ยวกับเรื่องของยุโรปสมัยก่อน โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่ร่ำรวย
นิยมส่งบุตรชายออกเดินทางไป ต่างประเทศพร้อมกับผู้สอนประจำตัว
Travelling Tours เวลา 3 ปี (Grand Tour)โดยมีจุดมุ่งหมายที่ประเทศอิตาลี
- อาจเรียก "แกรนด์ทัวร์" ว่าเป็นการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา
สิ่งมหัศจรรย์โลกในยุคกลางและยุคฟื้นฟู
1.Colosseum
เอื้อเฟื้อรูปภาพโดย: http://www.wonder7th.com/3colosseum.htm
สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง
เป็นอนุสรณ์ที่ใหญ่โตของอาณาจักรโรมันสมัยโบราณ
สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนามสร้าง
มีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร
ถึง 57 เมตรมี 4 ชั้น ภายในอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน
ใต้อัฒจรรย์และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต
และสิงโตหลายร้อยห้องใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต้อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร
หากนักโทษผู้ใดเอาชนะฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าก็รอดชีวิตไป หรือ
ไว้ใช้ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเองยิ่งถ้าสู้กัน
จนสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติ อย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมัน
นิยมและยกย่องกันมากปีปีหนึ่งต้องสูญเสียนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ
แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน
ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม
2. Stonehenge
ตั้งอยู่ที่เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ
กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนา แห่งเมืองซัลลิสเบอรี่
ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหิน ขนาดมหึมา
หินเรียงรายราวๆ3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน
ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง
บางก้อนล้มนอนบางก้อนตั้งตรงบางก้อนวางซ้อนทับอยู่
บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน
3.The Catacombs of Kom el Shoqafa
เอื้อเฟื้อรูปภาพโดย : http://members.tripod.com/com_sk/catacombs.htm
สุสานอเล็กซานเดรียตั้งอยู่ที่ เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
มีชื่อเรียกว่า คาตาโกมบ์ซึ่งไม่ ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง
ลักษณะของหลุมฝังศพ ไม่เหมือนกับปิรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึก
เข้าไปในภูเขาหินทราย ทำเป็นชั้นๆและมีช่องทางเดินวกเวียนไปมา
เป็นระยะทางหลายไมค์ ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม
ปัจจุบันคาตาโกมบ์มีสภาพเกือบจะสมบูรณ์
4.The Hagia Sophia
เอื้อเฟื้อรูปภาพโดย : http://www.ecarddesignanimation.com/home/
travel-hagia_sophia-t.php
สุเหร่าโซเฟีย หรือ ฮาเจีย โซเฟีย หรือชื่อในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์อะยาโซเฟีย
5.The Porcelain Tower of Nanjing
เดิมเคยเป็นโบสถ์ของ คริสต์ศาสนา นิกาย ออร์โธดอกส์
ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่าปัจจุบัน เป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ ครฮิสตันบูล
ประเทศตุรกี ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง และมักถูกจัดให้
อยู่ในรายการ สิ่งมหัสจรรย์ของโลกในยุคกลาง
จุดเด่นอยู่ที่ ยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็น
ตัวอย่างที่ดีที่สุดของ สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ อาเจียโซเฟียเคยเป็นโบสถ์
ในระหว่างปี ค.ศ532-537 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์
และเป็นโบสถ์หลังที่สาม ถูกสร้างขึ้นในสถานที่ เดียวกันนี้
(โบสถ์สองหลังแรก ถูกทำลายในระหว่างการจลาจล) โบสถ์นี้เป็นศูนย์กลางของ
นิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ เป็ฯเวลาเกือบ 1,000 ปี
จุดเด่นของสุเหร่า อยู่ที่ยอดโดมกลางวิหาร การประดับประดาด้วยกระจกหลากสี
ที่บริเวณเหนือหน้าต่าง ประตู และเสาสลักตามแบบไบเซนไทน์ จำนวน 108 ต้น
ภายในตัววิหารชั้นล่างเป็นเสาขนาดใหญ่จำนวน 40ต้น และชั้นบนมีหอแหลม
ล้อมรอบมากมาย บริเวณที่ตั้งกินเนื้อที่ 700 ตารางเมตร
5.The Porcelain Tower of Nanjing
เอื้อเฟื้อรูปภาพโดย : http://members.tripod.com/com_sk/nanjing.htm
เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง ตั้งอยู่ที่เมือง นานกิง ประเทศจีน เดิมมีเพียง 3 ชั้น
ค.ศ. 1430 สมัยจักรพรรดิยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์หมิง ได้รับสั่งให้สร้างเพิ่มขึ้นอีก 6 ชั้น
มีสายโซ่โยงมา 8 เส้น ติดกระดิ่งแขวนตามโซ่อีก 72 ลูก ลักษณะของเจดีย์แห่งนี้
จึงเป็นเจดีย์สูง 9 ชั้น แปดเหลี่ยม สูง 261 ฟุต
หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวทั้งหมด ชายคามีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก
มีโคมไฟประดับอีกจำนวนมากเจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับกระเบื้องเคลือบ
ยอดเจดีย์เป็นลูกกลมปิดทองต่อมาในปี ค.ศ. 1853
กบฎไต้แผง ได้เข้าไปทำลายเจดีย์กระเบื้องเคลือบนี้เครื่องบูชาและ
ของมีค่าภายในเจดีย์ถูกพวกกบฎไต้เผงกวาดไปหมด
ปัจจุบันไม่งดงามเหมือนเก่า
6. The Leaning Tower of Pisa
เอื้อเฟื้อรูปภาพโดย : http://www.wonder7th.com/2leaning_tower_pisa.htm
หอเอนปิซาตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นหอคอยอินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร
มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ
ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ.1717เสร็จในปี พ.ศ.1893 ใช้เวลานานถึง 176 ปี
ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลานานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง
คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา
เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้
เมื่อสร้างเสร็จยอกของหอเอียงออกจาก แนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร
และหอนี้เอียงนี้ช่วยให้ กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน
ผู้ที่มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง
7.The Great Wall of China
เอื้อเฟื้อรูปภาพโดย : http://www.wonder7th.com/2greatwall.htm
กำแพงเมืองจีนหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กำแพงอิฐยักษ์ ตั้งอยู่ที่ประเทศจีน
เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน
เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบไม่ได้อีกแล้ว
มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8
ได้อย่างสบายๆมีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร หนา 15-25 ฟุต
สูงพอที่จะไม่สามารถปีนข้ามไปได้ง่ายๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,400 กิโลเมตร
บนกำแพงทุกๆระยะ 200 เมตร จะมีหอหรือป้อมสำหรับตรวจการณ์
มีป้อมมากว่า 15,000แห่ง สร้างสูง ขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร
และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุไว้ ประจำทุกหอ
รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างพ.ศ. 300-329
ในสมัยพระเจ้าซีวังตี ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปีและมีการสร้างต่อเติมอีกหลายครั้ง
ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศนับจำนวนล้านคน มีผู้เสียชีวิตนับพัน
นับหมื่นคน ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลกที่สามารถมองเห็น
เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ไว้ป้องกันข้าศึก
ได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มี ความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว
คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น